top of page

"รู้ไว้! ไม่ Culture Shock" รวม 12 เกร็ดความรู้เกี่ยวกับประเทศอังกฤษ

อัปเดตเมื่อ 51false46 GMT+0000 (Coordinated Universal Time)


สำหรับการเตรียมพร้อมเพื่อเดินทางไปประเทศอังกฤษ การศึกษาเรื่องสังคมและวัฒนธรรมของคนในพื้นที่ ถือว่าเป็นอีกหนึ่งเรื่องสำคัญที่น้อง ๆ ไม่ควรมองข้ามนะคะ วันนี้พี่ ๆ BACCOM เลยนำความรู้ที่สำคัญเกี่ยวกับวัฒนธรรมของชาวอังกฤษมาฝากค่าาา :DD


1. การทักทาย


คนอังกฤษนิยมทักทายกันด้วยประโยคง่าย ๆ และจะมีคำทักทายเฉพาะตัว เป็นเอกลักษณ์ไม่เหมือนที่อื่น ที่น้อง ๆ จะได้ยินแค่เฉพาะที่อังกฤษเท่านั้นด้วย เรามาลองดูคำที่คนอังกฤษชอบใช้กันในการทักทายกันค่า


  • “Hello, mate!”

ประโยคนี้เอาไว้ใช้ทักทายเพื่อน โดยคำว่า ‘mate’ จะใช้เฉพาะคนอังกฤษเท่านั้น ถ้าเป็นคนอเมริกันจะไม่ใช้ค่า

หากมีคนทักทายด้วยประโยคนี้ น้อง ๆ ก็สามารถตอบรับกลับด้วยประโยคเดียวกันได้เลยค่ะ :D


  • “Hello, how's the weather?”

เป็นคำทักทายที่เกิดขึ้น เพราะอากาศที่นี่ค่อนข้างแปรปรวน ทำให้คนอังกฤษนิยมถามเรื่องสภาพอากาศในการทักทายกันเป็นเรื่องปกติเลยค่ะ


  • “How are you doing?”

เป็นคำทักทายทั่วไป ที่คนถามมักจะไม่ได้ต้องการคำตอบว่าวันนี้เป็นยังไง ไปทำอะไรมา แต่คนอังกฤษใช้เป็นคำทักทายปกติ ซึ่งเวลาตอบกลับ น้อง ๆ สามารถใช้ประโยคเดียวกันตอบกลับไปได้เลยค่ะ


  • “You alright?”

ประโยคนี้อาจทำให้คนที่เพิ่งย้ายไปอยู่ใหม่ ๆ เกิดความสับสนได้ เพราะคิดว่าคนพูดต้องการแสดงความเป็นห่วงเป็นใยเรา หรือตัวเราดูมีอะไรผิดปกติไปรึเปล่า เช่น สีหน้าดูไม่ดี จนทำให้เค้าพูดประโยคนี้กับเรา แต่จริง ๆ แล้ว นี่เป็นแค่ประโยคในการทักทายที่แฝงความห่วงนิด ๆ แบบสไตล์คนอังกฤษค่ะ น้อง ๆ ก็สามารถตอบกลับด้วยประโยค “Yeah, great thanks. You?” ก็ได้เช่นกันค่า



2. การกล่าวคำขอโทษ


มีแบบสำรวจคนอังกฤษที่บอกไว้ว่าคนอังกฤษมักพูดคำว่า “Sorry” เฉลี่ยประมาณ 8 ครั้งต่อวัน และพูดขอโทษมากที่สุดถึงเกือบ 20 ครั้งต่อวัน -0- แถมไม่ได้ขอโทษแค่คนเท่านั้นนะ แต่ยังขอโทษรวมไปถึง สัตว์ สิ่งของ สภาพอากาศ หรือสิ่งต่าง ๆ รอบตัวด้วย ซึ่งนอกจากจะทำให้เห็นถึงความเห็นอกเห็นใจซึ่งกันและกันแล้ว บางครั้งคนอังกฤษเองก็ใช้คำว่า Sorry เพื่อช่วยให้คำพูดดูซอฟท์ลงนั่นเองค่ะ คล้าย ๆ กับการใช้คำว่า Please และ Thank you ที่มักได้ยินกันบ่อย ๆ


นอกจากการขอโทษแล้ว คนอังกฤษยังมีการพูดรักษาน้ำใจของคนฟังด้วย ทั้งการเลือกใช้คำให้เหมาะสม หรือการไม่พูดแบบตรงไปตรงมาจนเกินไป โดยเฉพาะสำหรับเรื่องที่ค่อนข้างเซนซิทีฟ แต่ถ้าเป็นเพื่อนสนิทไม่นับนะคะ เพราะคนอังกฤษก็มักจะหยอกล้อเพื่อนสนิทด้วยคำพูดแบบถึงพริกถึงขิงกันเลยทีเดียว แต่ถ้ายังไม่สนิทกันจริง ๆ น้อง ๆ ก็ควรรักษามารยาทไว้เป็นดีที่สุดค่า



3. การใช้คำพูด


คนอังกฤษชอบใช้คำพูดที่แฝงความนัยในประโยค หรือมักจะสื่อสารแบบอ้อม ๆ เพราะกลัวว่าจะทำให้คนฟังรู้สึกไม่ดี หรือเกิดการผิดใจกันได้ในภายหลัง และเพื่อให้น้อง ๆ เห็นภาพมากขึ้น พี่ ๆ BACCOM ได้เลือกบางประโยคที่มักมีนัยแฝงมาฝากเป็นตัวอย่างค่า :D


  • “It’s really cold in here.” = Can we close the window?

หลายคนอาจเข้าใจว่าคนพูดแค่ต้องการบอกว่าหนาว ส่วนน้อง ๆ ที่ไม่รู้ก็จะงง ๆ หน่อยว่าหนาวแล้วจะมาบอกเราทำไมล่ะเนี่ยยย?-? ซึ่งจริง ๆ แล้วประโยคนี้เป็นการบอกเป็นนัยให้เราช่วยปิดหน้าต่างให้เขาหน่อยค่า


  • “I’m trying to study.” = Be quiet!

ต้องการบอกให้เงียบเสียงลงหน่อย เพราะเธอทำเสียงดังฉันอ่านหนังสือไม่ได้เนี่ยยย


  • “The bar closes in 5 minutes.” = So please leave

บาร์ใกล้จะปิดก็ควรออกจากร้านได้แล้วนะ



น้อง ๆ ก็อย่าลืมฝึกตีความประโยค หรือการ read between the lines เผื่อไว้ด้วยนะคะ :D



4. มารยาท

เรื่องมารยาทก็เป็นอีกเรื่องที่สำคัญมาก ๆ ที่น้อง ๆ ควรรู้ไว้ก่อนเดินทางไปอังกฤษอย่างเรื่องการปฏิบัติตัวต่าง ๆ ในที่สาธารณะ โดยวันนี้พี่ ๆ ก็ได้รวบรวมมารยาทขั้นพื้นฐานของคนอังกฤษที่ควรรู้มาฝากกันค่าาา


  • การเดินชิดขวา

มารยาทอีกอย่างนึงของคนที่นี่ คือ การเดินหรือยืนชิดขวา โดยเฉพาะบนบันไดเลื่อนตามสถานที่ต่าง ๆ ที่มักจะมีการเว้นช่องทางด้านซ้ายให้คนที่เร่งรีบเดินลงบันไดเลื่อนได้สะดวกเหมือนเป็นทางลัดนั่นเองค่าาา ซึ่งประเทศส่วนใหญ่ทั่วโลกก็ใช้วิธีแบบนี้ในช่วงเวลาเร่งรีบ และสร้างความเป็นระเบียบเรียบร้อยในการสัญจรค่ะ


  • การเปิดประตูรอคนด้านหลัง

การเปิดประตูให้คนที่กำลังจะเข้าต่อจากเรา ก็ถือว่าเป็นอีกเรื่องที่สำคัญมาก ๆ เลยนะคะ สมมติว่าน้อง ๆ เดินผ่านประตู ไม่ว่าจะเป็นประตูร้านอาหาร หรือ ประตูเข้าที่พักต่าง ๆ ตามมารยาทแล้ว น้อง ๆ ควรจะต้องหันไปดูว่ามีคนกำลังเดินตามมารึเปล่า ถ้ามี น้อง ๆ ก็ควรที่จะเปิดประตูรอไว้ก่อน จนกว่าอีกคนจะเดินมาถึงประตูแล้วรับมือจับประตูนั้นต่อจากเราไปค่ะ ซึ่งถ้าน้อง ๆ ไม่หันมามองแล้วปิดประตูนั้นเลย จะถือว่าเสียมายาทมากกก เพราะฉะนั้น น้อง ๆ อาจจะต้องระวังแล้วฝึกให้ชินไว้ด้วยน้าาา


5. การข้ามทางม้าลาย


ในต่างประเทศมีการบังคับใช้กฎหมายจราจรที่ระบุไว้ชัดเจนว่า รถต้องจอดให้คนเดินข้ามถนนก่อน ซึ่งที่นี่เอง ก็ค่อนข้างเข้มงวดเรื่องนี้เหมือนกันค่ะ แถมทางม้าลายของที่นี่ เรียกได้ว่าใส่ใจทั้งคนข้ามและคนขับขี่เลยล่ะ :D น้อง ๆ น่าจะเคยเห็นเสาให้สัญญาณคนข้ามถนนแบบธรรมดากันอยู่บ้าง ที่ต้องกดปุ่มเพื่อรอสัญญาณไฟสีเขียวถึงจะข้ามได้ แต่ที่อังกฤษยังมีความพิเศษที่ใส่ใจอีกระดับขึ้นมาคือ ทางที่คนจะเดินยังไงก็ได้ นานแค่ไหนก็ได้ รถก็ต้องหยุดให้ โดยจะมีเสาไฟที่เรียกว่า "Belisha Beacons" ซึ่งเป็นเสาที่มีหัวสีส้มอมเหลืองกระพริบ ๆ ประกบทั้งสองข้างของทางม้าลาย ในย่านที่เน้นให้คนเดิน เพื่อที่จะให้คนขับรถมองเห็นได้ไกล ๆ ว่ามีคนกำลังจะข้ามถนน ส่วนคนข้ามก็สามารถข้ามได้อย่างสบายใจหายห่วงเมื่อเห็นเสาเหลือง ๆ แบบนี้ เพราะทุกคันพร้อมใจกันหยุดให้คนข้ามจริง ๆ ปลอดภัยหายห่วง ไม่ต้องกังวลว่าคนขับจะไม่หยุดรถให้เลยค่า :D


ขอบคุณรูปภาพจาก Carwow



6. การเข้าคิว


คนที่นี่ซีเรียสกับการเข้าคิวมาก ๆ เหมือนกับในหลายประเทศที่น้อง ๆ อาจจะคุ้นเคยดีอย่าง ประเทศญี่ปุ่น ที่การเข้าคิวจะมีการจัดการที่เป็นระเบียบมาก ไม่ว่าจะเป็นการรอคิวเข้าร้านอาหารหรือแม้กระทั่งการต่อคิวเข้าผับ ก็จะต้องต่อคิวเป็นแถวเรียงลำดับทั้งนั้น การแซงคิวถือว่าเป็นเรื่องที่ไม่ควรทำ และเสียมารยาทสุด ๆ เพราะเป็นการไม่ให้เกียรติคนที่ต่อคิวอยู่ก่อนหน้า แต่ถ้ามีธุระเร่งด่วนจริง ๆ อย่าลืมขออนุญาตคนที่ต่อคิวคนก่อนหน้าและคนถัด ๆ ไปด้วยน้า


ถึงแม้อังกฤษจะดูเป็นประเทศที่มีความเยอะสิ่งในหลาย ๆ ด้าน แต่ใจความหลักของการกระทำก็คือ การให้เกียรติและเคารพซึ่งกันและกันของคนในสังคมนั่นเองค่ะ ซึ่งเรื่องมารยาทพื้นฐานแบบนี้เชื่อว่าน้อง ๆ หลายคนน่าจะทราบกันอยู่แล้ว เพราะประเทศไทยเองก็พยายามปลูกฝังให้คนในชาติมีจิตสำนึกในการต่อคิวเช่นเดียวกันเนอะ !


ขอบคุณรูปภาพจาก Bloomberg


7. ความตรงต่อเวลา

คนอังกฤษให้ความสำคัญกับการตรงต่อเวลามาก ๆ ถ้ามีการนัดหมายกันเมื่อไหร่ น้อง ๆ ก็ควรจะไปให้ตรงเวลา หรืออาจจะไปก่อนเวลาสักหน่อย แต่ถ้ามีเหตุฉุกเฉินจริง ๆ ที่ทำให้ไปไม่ได้หรือไปถึงที่นัดหมายช้ากว่าปกติ ก็ควรแจ้งให้อีกฝ่ายทราบแบบด่วน ๆ เลยค่าาา ยิ่งบอกก่อนเท่าไหร่ ยิ่งดีเท่านั้นน้าาา



8. การแต่งตัว


ปกติแล้วที่ไทย น้อง ๆ อาจจะต้องใส่ยูนิฟอร์มไปเรียน แต่สำหรับนักศึกษาที่นี่ ทุกคนสามารถใส่อะไรไปก็ได้เลยยย คนอังกฤษให้อิสรภาพในการแต่งตัวมาก ๆ ไม่ว่าจะอยู่ในสภาพอากาศแบบไหน คนที่นี่ก็จะเลือกใส่เสื้อผ้ากันแบบตามใจตัวเองสุด ๆ โดยไม่ได้แคร์ว่าใครจะมองยังไงเลยค่ะ ดังนั้นหากน้อง ๆ เจอคนอังกฤษที่แต่งตัวสวนทางกับสภาพอากาศ ก็ไม่ต้องแปลกใจไปเลยค่า ><

ยังไงพี่ ๆ BACCOM ก็แนะนำว่า อย่าสนุกกับการแต่งตัวจนลืมนึกถึงเรื่องสุขภาพด้วยน้า สภาพอากาศที่นี่แปรปรวนมาก น้อง ๆ จะได้ไม่เจ็บไม่ป่วยกันค่า :D


ขอบคุณรูปภาพจาก Fashion Gone Rogue



9. สภาพอากาศ และฤดูกาล

สภาพอากาศที่นี่เอาแน่เอานอนไม่ค่อยได้ มักจะมีฝนตกปรอย ๆ ตลอดทั้งปีเลยล่ะค่ะ หรือน้อง ๆ อาจเจอทั้งแดด ลม ฝน หิมะตก ทั้งหมดได้ภายในบ่ายวันเดียวกันเลย แต่เพื่อให้น้อง ๆ เข้าใจสภาพอากาศในแต่ละฤดูมากขึ้น ในข้อนี้เราจะมาดูความแตกต่างในแต่ละช่วงกัน น้อง ๆ จะได้เตรียมตัวรับมือกับสภาพอากาศที่นี่ได้ค่ะ


สำหรับฤดูกาลของอังกฤษ ก็มีด้วยกันทั้งหมด 4 ฤดู


🍀 ฤดูใบไม้ผลิ มีนาคม - พฤษภาคม


ช่วงนี้อากาศจะยังค่อนข้างเย็น แต่จะไม่ได้หนาวมากเท่ากับช่วงหน้าหนาว โดยอุณหภูมิจะอยู่ที่ประมาณ 15-20 องศาฯ จะเป็นช่วงที่ต้นไม้ ดอกไม้จะผลิดอกออกใบ เป็นช่วงแห่งความสดชื่นเบิกบาน และมีชีวิตชีวา บางวันก็จะมีอากาศที่อบอุ่นไปด้วยแสงแดดในช่วงเช้ามาให้ได้อุ่นใจบ้าง แต่ก็จะยังสลับกับความหนาวเย็นหรือฝนตกในช่วงบ่าย ๆ ซึ่งในฤดูนี้คนไทยหลายคนก็นิยมไปเที่ยวที่อังกฤษ เพราะอากาศกำลังดี หนีฤดูร้อนในประเทศไทย ไปสัมผัสบรรยากาศเย็นสบายในฤดูใบไม้ผลิที่อังกฤษแทน :DD


☀️ ฤดูร้อน มิถุนายน - สิงหาคม


สิ่งที่น่าสนใจของฤดูร้อนที่นี่ก็คือ พระอาทิตย์จะตกช้ากว่าปกติ ทำให้เรารู้สึกว่ามีช่วงเวลากลางวันที่ยาวนานมาก ซึ่งกว่าจะเริ่มมืดก็เป็นช่วง 3 ทุ่มเป็นต้นไปแล้ว


ส่วนสภาพอากาศในฤดูร้อนที่นี่ ส่วนใหญ่อากาศจะกำลังสบาย ๆ อุณหภูมิจะอยู่ที่ประมาณ 20-32 องศาฯ น้อง ๆ ที่เพิ่งย้ายมาอยู่ อาจจะรู้สึกเหมือนอยู่ในช่วงฤดูหนาวของไทยเลยก็ว่าได้ อากาศเหมาะสำหรับการเดินเล่น ไปนั่งชิวที่สวนสุด ๆ เลยค่ะ ยิ่งในวันที่มีแดดมาก ๆ น้อง ๆ จะเห็นคนอังกฤษตื่นเต้นกันสุด ๆ ถึงขนาดพร้อมใจกันออกไปยืนตากแดด ถ้าตรงไหนมีเงาบัง ตรงนั้นจะไม่มีคนยืนเลย เรียกได้ว่าแย่งแดดและเห่อแดดกันสุด ๆ


แต่ก็จะมีช่วงสัปดาห์ที่ร้อนจัด ๆ แบบร้อนไม่ไหวอยู่ประมาณ 1 - 2 สัปดาห์ บอกเลยว่าช่วงนี้ร้อนไม่ต่างจากที่ไทยเลยค่ะ หรือเผลอ ๆ อาจจะหนักกว่าที่ไทยด้วยซ้ำ เพราะที่อังกฤษจะเป็นร้อนแห้ง ๆ ไปไหนมาไหนก็ไม่มีแอร์ ยิ่งบาง tube ก็ไม่มีแอร์อีกกก ทำเอานึกถึงเวลาขึ้นรถเมล์ในหน้าร้อนประเทศไทยเลย ร้อนจนไอร้อนตีขึ้นหน้าเลยก็ว่าได้ คนส่วนใหญ่ก็เลยหาซื้อพัดลม น้ำแข็ง และสารพัดของให้ความเย็นต่าง ๆ จนทำเอาช่วงนั้นของขาดตลาดไปเลยล่ะค่ะ T-T น้อง ๆ ก็อย่าลืมเตรียมพร้อมรับมือสำหรับช่วงนี้ไว้ด้วยนะคะ


🍂 ฤดูใบไม้ร่วง กันยายน - พฤศจิกายน


ฤดูนี้อากาศจะเริ่มค่อย ๆ กลับมาหนาวขึ้นเรื่อย ๆ และเป็นช่วงเปลี่ยนผ่านระหว่างฤดูร้อนเข้าสู่ฤดูหนาว โดยอุณหภูมิจะอยู่ที่ประมาณ 8 - 14 องศาฯ แถมบางเมืองจะมีฝนตกประปราย แต่ก็ถือว่ายังเป็นฤดูที่สวยงามมาก ๆ ค่ะ เพราะในช่วงไฮไลต์ของฤดูนี้ น้อง ๆ จะได้เห็นใบไม้เปลี่ยนสีตามท้องถนน เหมาะกับการใส่เสื้อโค้ทเก๋ ๆ ไม่ต้องหนามาก ไปถ่ายรูปสวย ๆ เอาไว้โพสต์ลงโซเชียลมากค่ะ


ในส่วนของแหล่งชมใบไม้เปลี่ยนสีก็มีด้วยกันหลายแห่ง อย่าง Royal Parks, RIchmond Park, Chelsea Embankment, Kew Gardens ที่น้อง ๆ สามารถเดินเที่ยวชม พักผ่อนหย่อนใจ และดื่มด่ำบรรยากาศใบไม้เปลี่ยนสีในช่วงฤดูนี้กันค่า


☃️ ฤดูหนาว ธันวาคม – กุมภาพันธ์


ฤดูหนาวที่นี่จะมืดเร็วมาก ๆ ตรงข้ามกับฤดูร้อนเลย เพราะพระอาทิตย์จะตกเร็วมาก ประมาณ 3 โมงก็จะเริ่มมืดแล้ว ทำให้รู้สึกว่ามีช่วงเวลากลางวันที่สั้นมาก


โดยอุณหภูมิจะอยู่ที่ประมาณ 0 - 4 องศาฯ อากาศจะหนาวเย็นมากที่สุด ในบางเมืองจะมีหิมะตก แถมยังลมแรง และมีเมฆครึ้ม อึมครึมไปทั้งวันอีกต่างหากค่ะ ในช่วงฤดูนี้ อาจจะทำให้บางคนไม่ชอบบรรยากาศอึมครึมในฤดูนี้สักเท่าไหร่


แต่ในช่วงฤดูหนาวนี่แหละค่ะ ที่จะมีเทศกาลคริสมาส มี Christmas Market หลายแห่งให้เดินเล่นเพลิดเพลินนน มีเทศกาลปีใหม่ให้ได้เฉลิมฉลองอย่าง Southbank Winter Market สำหรับเดินกินลมชมวิวริมแม่น้ำเทมส์, Liecester Square ที่จะมีการตกแต่งไฟสีสันสวยงาม มีของฝากและของที่ระลึกต่าง ๆ ให้เลือกซื้อ และพลาดไม่ได้กับ Winter Wonderland ที่มีชื่อเสียงในเรื่องของการนั่งรถเล่นชมแสง สี เสียงท่ามกลางหิมะ แถมที่นี่ยังมีลานสเก็ตน้ำแข็งให้เล่นกันอีกด้วยค่า และก่อนจะออกไปเที่ยวเล่นข้างนอกน้อง ๆ ก็อย่าลืมใส่เสื้อผ้าหนา ๆ เลือกเสื้อที่มีคุณภาพดี เพื่อทำให้ร่างกายอบอุ่นนะคะ และอย่าลืมทาครีมบำรุงผิว โลชั่นต่าง ๆ เพื่อป้องกันไม่ให้ผิวแห้งแตกด้วยน้าาา


BACCOM TIPS ⏱

ที่นี่จะมีการปรับเวลาที่เรียกว่า Daylight Saving Time เพื่อให้คนสามารถใช้ประโยชน์จากแสงอาทิตย์ได้มากขึ้น เป็นการประหยัดพลังงาน และช่วยให้ช่วงเย็นมีเวลายาวนานขึ้นเพื่อทำกิจกรรมต่าง ๆ ซึ่งใน 1 ปี จะมีการปรับเวลา 2 ครั้ง คือ ช่วงมีนาคม ที่จะปรับให้เร็วขึ้น 1 ชั่วโมง และจะปรับให้ช้าลง 1 ชั่วโมง เพื่อกลับมาเป็นปกติในเดือนตุลาคมนั่นเองงง



10. การดื่มชา


ประเทศอังกฤษเป็นประเทศที่มีวัฒนธรรมการดื่มชาที่เลื่องลือว่าดื่มโหดกันมาก ๆ น้อง ๆ รู้ไหมคะว่าคนอังกฤษดื่มชากันมากกว่า 150 ล้านถ้วยต่อวันเลยทีเดียว! และไม่ใช่แค่นั้นนะคะ คนอังกฤษเค้าบ้าชามาก ๆ จนมีชาที่ผสมเป็นชื่อเรียกของตัวเองอย่าง “ชาดำอังกฤษ หรือ English Breakfast Tea” เลยด้วยยย ซึ่งเป็นชาดำที่รวบรวมใบชาดำสายพันธุ์ต่าง ๆ เข้าด้วยกัน เช่น ชาอัสสัมจากอินเดีย (Assam Tea) ชาซีลอนจากศรีลังกา (Ceylon Tea) และชาเคนยาจากแอฟริกาตะวันออก (Kenya Tea) โดยยี่ห้อหลัก ๆ ที่คนอังกฤษส่วนใหญ่นิยมดื่ม คือ PG Tips Twining Tetley และ Yorkshire รับรองได้เลยว่าต้องมียี่ห้อชาเหล่านี้ติดบ้านที่อังกฤษอย่างแน่นอนค่ะ


แต่สมัยนี้คนอังกฤษก็ไม่ได้ดื่มชาดำกันอย่างเดียวแล้วนะคะ คนรุ่นใหม่ก็หันมาดื่มพวกชาเขียว ชาสมุนไพร ชาดอกไม้ที่ผสมพิเศษและดื่มกาแฟกันมากขึ้น เพราะฉะนั้นสำหรับน้อง ๆ ที่ชื่นชอบการดื่มชา ไม่ว่าจะเป็นชานมไข่มุก ชาไทย หรือชาเขียว หรือชาอะไรก็แล้วแต่ ก็สามารถ Enjoy ได้เต็มที่เลยค่า มีขายหลายที่หาซื้อได้ง่ายแน่นอนนน



11. น้ำประปากินได้


หลายคนอาจจะยังไม่รู้ว่า น้ำประปาที่ประเทศอังกฤษสามารถดื่มได้! หรืออาจจะเกิดคำถามว่า “ดื่มน้ำประปาเนี่ยนะ!?” แต่น้ำประปาที่นี่ดื่มได้จริง ๆ ค่ะ เพราะความสะอาดของระบบประปาของอังกฤษ ถูกจัดอยู่กลุ่มน้ำคุณภาพดีแห่งหนึ่งในโลกเลยทีเดียว ทำให้น้อง ๆ สามารถดื่มจากก๊อกโดยตรงได้เลย แต่ถ้าน้อง ๆ บางคนที่ยังไม่ชิน และรู้สึกไม่ค่อยสบายใจสักเท่าไหร่ ก็สามารถซื้อเครื่องกรองน้ำขนาดเล็กไว้ใช้ในที่พักได้เช่นกันค่าาา



12. ชีวิตมหาวิทยาลัย


สำหรับการใช้ชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัยที่ประเทศอังกฤษ น้อง ๆ ก็จะได้พบเจอกับคนหลากหลายเชื้อชาติ ภาษา และวัฒนธรรม ซึ่งก็จะเป็นประโยชน์มากสำหรับการทำความรู้จัก และแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมของแต่ละประเทศ หากน้อง ๆ มีปัญหาไม่ว่าจะเป็นเรื่องเรียน เรื่องการใช้ชีวิต เรื่องการปรับตัวต่าง ๆ ก็ไม่ต้องกลัวเลยยย เพราะแต่ละมหาวิทยาลัยจะมีอาจารย์หรือบางที่จะมีหน่วยดูแลนักเรียนต่างชาติเป็นพิเศษ ที่พร้อมให้ความช่วยเหลือ และให้คำปรึกษาน้อง ๆ อย่างเต็มที่ ยิ่งไปกว่านั้นมหาวิทยาลัยในอังกฤษยังมีระบบซัพพอร์ตและสิ่งอำนวยความสะดวกเพื่อดูแลนักศึกษาที่เป็นผู้พิการและบกพร่องอีกด้วยนะคะ ถือว่าใส่ใจและดูแลอย่างทั่วถึงเพื่อให้เกิดความเท่าเทียมให้ได้มากที่สุด ไม่ว่าจะเชื้อชาติ เพศ สีผิว ศาสนา หรือวัฒนธรรมไหนก็ตามเลยล่ะค่ะ


**********


เป็นยังไงกันบ้างคะ สำหรับข้อมูลเรื่องวัฒนธรรม และนิสัยของคนอังกฤษที่ได้นำมาฝากกัน หวังว่าน้อง ๆ จะได้ความรู้เพิ่มเติมที่เป็นประโยชน์ และเข้าใจความเป็นอยู่ของคนอังกฤษมากยิ่งขึ้น เพื่อไว้ใช้ในการปรับตัวเข้ากับสังคมใหม่ที่น้อง ๆ หลายคนกำลังเป็นกังวลหรือกำลังตื่นเต้นอยู่นะคะ ทางพี่ ๆ BACCOM ขอเป็นกำลังใจให้น้อง ๆ ทุกคน ก้าวผ่านทุกอุปสรรค พร้อม Enjoy life in UK กันค่ะ :D


และสำหรับใครที่กำลังมองหาที่พัก กังวลเรื่องเอกสาร หรือต้องการบริการอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการย้ายไปอยู่ที่อังกฤษ สามารถปรึกษา BACCOM ได้นะคะ พี่ ๆ ยินดีให้คำแนะนำน้อง ๆ ทุกคนอย่างเต็มที่เลยค่า :D



🏡 เรื่องที่พักในอังกฤษให้ BACCOM ดูแล 🇬🇧 ครบทุกบริการที่ต้องการ ปรึกษาฟรีไม่มีค่าใช้จ่าย 💕


💚 LINE ID : @baccomuk

💙 Facebook : BACCOM UK

❤️ Youtube: BACCOM UK

📩 Email: hello@baccom.co.uk

☎️ UK Call : +44 7400 902 392

☎️ TH Call : +66 62 656 9422


🔗 ดูบริการอื่น ๆ เพิ่มเติมได้ที่

bottom of page